วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2562
วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2562
9#ส่งเสริมเกษตรกรเครือข่าย ทำเกษตรอินทรีย์ ผลผลิตปลอดภัย ได้คุณภาพสูง
ส่งเสริมเกษตรกรเครือข่าย ทำเกษตรอินทรีย์ ผลผลิตปลอดภัย ได้คุณภาพสูง
ศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ให้ความสำคัญในการปรับปรุงบำรุงดิน โดยเชื่อว่า หากดินมีความอุดมสมบูรณ์ ย่อมทำให้พืชและสัตว์ที่เจริญเติบโตจากผืนดินนั้น มีความอุดมสมบูรณ์ตามไปด้วย การทำเกษตรอินทรีย์ซึ่งไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ยากำจัดศัตรูพืชและวัชพืช และไม่มีการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด แม้ว่าอาจจะส่งผลให้ได้ผลผลิตน้อยกว่า แต่เกษตรกรสามารถขายผลผลิตได้ในราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคเชื่อว่าผลผลิตมีคุณภาพสูงและปลอดภัยกับสุขภาพ
นายประวิทย์ สวรรคทัต เจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มฯ กล่าวว่า ปัญหาทั่วไปของศูนย์ฯเขาชะงุ้ม คือบริเวณรอบศูนย์ฯเป็นดินลูกรัง ซึ่งทำประโยชน์อะไรไม่ค่อยดี ทางศูนย์ฯได้เข้าไปส่งเสริมการปลูกพืชปุ๋ยสดเพื่อปรับปรุงดินแล้วก็ปุ๋ยหมัก วิธีการทำปุ๋ยหมัก น้ำหมักต่างๆ เพื่อจะทำให้ดินลูกรังมีคุณสมบัติดีขึ้นโครงสร้างของดินจะได้มีอินทรีย์วัตถุเพิ่มขึ้น แนวทางของศูนย์ฯที่เกษตรกรได้เข้าไปเรียนรู้ที่ศูนย์ฯ เช่น การปลูกผักปลอดสารพิษหรือการปรับปรุงดิน อีกอย่างคือทางศูนย์ฯจะไม่ใช้ยาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าหญ้าเพราะเป็นอันตรายกับเกษตรกรทั่วๆไป แต่จะแนะนำให้เปลี่ยนมาทำปุ๋ยหมัก เช่น พด.1 พด.2 พด.6 และพด.7 เพื่อจะลดการใช้สารเคมีให้กับเกษตรกร ลดต้นทุน เพื่อจะให้เกษตรกรนำตัวอย่างของทางศูนย์ฯ เช่น การปลูกหญ้าแฝกเพื่อลดการพังทลายของดินและการปรับปรุงดินเพราะว่าหญ้าแฝกมีประโยชน์อย่างมากมาย ควบคุมความชื้นในดินได้ รากของหญ้าแฝกจะหยั่งลงลึกเพื่อจะไปยึดไม่ให้ดินพังทลายได้ การที่เกษตรกร เช่น นางประเสริฐ จีนตุ้ม ได้นำวิธีปฏิบัติของทางศูนย์ฯมาใช้ในชีวิตประจำวันถือเป็นตัวอย่างให้กับเกษตรกรรายอื่นได้เป็นอย่างดี ความสำเร็จของเกษตรกร ที่ได้รับความรู้จากศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สามารถจะเป็นเกษตรกรต้นแบบ ที่นำพาเกษตรกรรายอื่นๆ หันมาทำเกษตรที่ปลอดจากสารเคมี เพื่อดินที่ดี ผลผลิตที่ดี และรายได้ที่ดีขึ้นตามลำดับ
นางประเสริฐ จีนตุ้ม ประธานกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเขาชะงุ้ม กล่าวว่า สมัยก่อนปลูกพืชเชิงเดี่ยวจะปลูกมันทั้งแปลง ปลูกอ้อยก็เป็นอ้อยทั้งแปลงเพราะว่าใช้ปุ๋ยเคมีแล้วก็ใช้ยาฆ่าแมลงอย่างหนักเพราะต้องการผลผลิตสูงๆ พอได้ผลผลิตสูงๆแล้วไม่ได้ยอดเงินตามเป้าหมายที่ต้องการเพราะต้องจ้างทุกอย่าง แรงงานก็ต้องจ้าง รถเข็นก็ต้องจ้าง ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลงก็ต้องซื้อ เลยชวนพ่อกับแม่ปรับเปลี่ยนมาเป็นปลูกพืชผสมผสานตามแนวหลักของในหลวงเศรษฐกิจพอเพียงก็ปลูกทุกอย่างในแปลงจะมีผสมผสานกันหมด ในแปลงผักจะปลูกรวมกันเป็นผัก 3 ระดับ เป็นคะน้า กวางตุ้ง ผักใบเล็กๆ ระดับที่ 2 เป็นถั่วฝักยาว แตงกวา ที่มีอายุเก็บเกี่ยวเดือนหนึ่ง และระดับที่ 3 เป็นพวกมะเขือเปราะ มะเขือยาวจะเก็บเกี่ยวตลอดทั้งปี เราเข้าไปเรียนรู้ในศูนย์ฯ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่มาแนะนำที่บ้านถึงวิธีการทำปุ๋ยหมัก วิธีการทำน้ำหมักชีวภาพ ให้เรียนรู้การทำสารกำจัดแมลง ตนเคยไปดูแปลงผักของทางศูนย์ฯซึ่งเป็นดินลูกรังที่แย่กว่าบ้านเราอีก เขายังสามารถปลูกได้ โดยที่ไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมี คือ ใช้ปุ๋ยหมักอย่างเดียว เราก็เลยนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำแปลงของเรา.
ที่มา : https://www.thairath.co.th
8#"เศรษฐกิจใหม่"ลุยฉะเชิงเทราต้านใช้ยาฆ่าแมลง หลังพบปชช.ตายด้วยโรคมะเร็ง
"เศรษฐกิจใหม่"ลุยฉะเชิงเทราต้านใช้ยาฆ่าแมลง หลังพบปชช.ตายด้วยโรคมะเร็ง
รักษาการหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ ควงเลขาพรรค-ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่ ลงพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เร่งติดตามงานต่อต้านการใช้ยาฆ่าหญ้าหลังพบประชาชน 1 ใน 8 ต้องล้มตายด้วยโรคมะเร็ง เกิดจากการบริโภคพืชผักผลไม้ ที่สะสมดูดซึมเอาสารเคมียาฆ่าหญ้าและมาสะสมในร่างกาย พร้อมประกาศเดินหน้าทำงานตามนโยบายพรรคที่ให้ไว้ก่อนเลือกตั้ง ถึงแม้จะเป็นฝ่ายค้านก็ตาม
เมื่อวันที่ 28 ส.ค.62 นายสุภดิช อากาศฤกษ์ รักษาการหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ นายภาสกร เงินเจริญกุล เลขาธิการพรรคฯ พร้อมด้วย ดร.มนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่ ได้เดินทางไปยังสำนักงานเกษตร อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งได้มีการอบรมเกษตรกร เพื่อให้ความรู้ในการใช้ยาฆ่าหญ้าให้เกิดอันตรายน้อยที่สุด โดยหลังจากผ่านการอบรมแล้ว เกษตรกรจะต้องทำแบบทดสอบความเข้าใจในการใช้ยาอันตรายดังกล่าว และเมื่อสอบผ่าน สำนักงานเกษตรอำเภอสนามชัยเขตจึงจะออกใบอนุญาตให้เกษตรกรสามารถนำไปซื้อและใช้ยาฆ่าหญ้าได้
สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ อ.สนามชัยเขต มีเกษตรกรที่ลงทะเบียนไว้ทั้งสิ้นจำนวน 1,254 ราย โดยขณะนี้ได้ทำการอบรมและสอบผ่านไปแล้ว 97 ราย ซึ่งสำนักงานเกษตร อ.สนามชัยเขต จะต้องเร่งทำการอบรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ก่อนที่กฎหมายการบังคับใช้ยาฆ่าหญ้าจะประกาศใช้ โดยเกษตรกรที่เข้าอบรมต่างให้เหตุผลที่ยังจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าหญ้า ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค แต่ ณ ปัจจุบันยังไม่มีผลิตภัณฑ์ตัวอื่นมาแทนที่ในการกำจัดวัชพืช
นายสุภดิช อากาศฤกษ์ รักษาการหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ กล่าวว่า ในฐานะที่พรรคเศรษฐกิจใหม่เป็นผู้เปิดประเด็นและต่อต้านการใช้ยาฆ่าหญ้ามาโดยตลอด และถือเป็นนโยบายหนึ่งของพรรคฯ ก็คงต้องเดินหน้าหาทางแก้ไขและรณรงค์ให้เกษตรกรลด-เลิก การใช้ยาฆ่าหญ้ากันต่อไป
จากนั้นคณะ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่ ได้เดินทางต่อไปยัง ที่ทำการกลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านยางแดง เพื่อเยี่ยมเยียนพี่น้องเกษตรกรกลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านยางแดง ซึ่งมีสมาชิกกว่า 500 ครัวเรือน ที่ไม่ใช้สารเคมีเด็ดขาดในการทำการเกษตร หรือการทำเกษตรอินทรีย์ 100% นั่นเอง ซึ่งผลการปลูกพืชผักผลไม้ในพื้นที่ ก็ถือว่าได้ผลผลิตเป็นที่พอใจ พร้อมทั้งมีการรวมกลุ่มให้ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ และช่วยส่งเสริมด้านการตลาดของกลุ่มอีกด้วย ซึ่งหากพบว่าสมาชิกของกลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านยางแดงคนไหนแอบใช้สารเคมี ก็จะถูกให้พ้นจากการเป็นสมาชิกของกลุ่มทันที.
ที่มา : https://www.thairath.co.th
7#เถียงกันไม่จบผลกระทบสารพาราควอต
เถียงกันไม่จบผลกระทบสารพาราควอต
นายอุทัย นพคุณวงศ์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า หลังจากคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและแมลง 2 ชนิด คือ พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส ส่วนไกลโฟเซต สั่งให้มีควบคุมการใช้ ภายในสิ้นเดือน ธ.ค.2562 นั้น ได้มีการแต่งตั้งอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาควบคุมวัตถุอันตรายพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ขึ้นเพื่อหาข้อเท็จจริงด้านผลกระทบจากสารเคมี ซึ่งปัจจุบันกำลังสรุปข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการแบนสารเคมีดังกล่าวภายในเดือน เม.ย.2561 เพื่อยื่นเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูงในเดือน พ.ค.2561 พิจารณาว่าจะมีมติยกเลิกการใช้สารเคมีพาราควอตและไกลโฟเซตหรือไม่
“ข้อมูลผู้ที่ต้องการใช้พาราควอต อ้างว่าเดิมราคาพาราควอตอยู่ที่ 380 บาทต่อแกลลอน พอมีข่าวจะแบนสารเคมีก็มีการกักตุนราคาเพิ่มกว่า 60% ซึ่งกระทบต่อต้นทุนเกษตรกรรายย่อย จำนวนมาก โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ 6 ชนิด คือ ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวโพดหวาน”
สำหรับข้อมูลฝ่ายที่ต้องการแบนระบุว่า พาราควอตมีผลต่อโรคพาร์กินสันในทารกที่อยู่ในครรภ์ และมีผลต่อโรคเนื้อเน่านั้นยังไม่มีผลวิจัยระบุถึงอันตรายชัดเจน ขณะที่สารเคมีที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าพาราควอตซึ่งจะนำมาใช้ทดแทนปัจจุบันยังไม่มี อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการแบนพาราควอต กรมวิชาการเกษตรเตรียมเสนอมาตรการควบคุมไว้แล้ว อาทิ กำหนดให้จำหน่ายในร้านจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ เป็นต้น.
ที่มา : https://www.thairath.co.th
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562
6#จำกัดการใช้ 3 สารเคมีเกษตร จะซื้อจะขาย ต้องมีใบอนุญาตพิเศษ
จำกัดการใช้ 3 สารเคมีเกษตร จะซื้อจะขาย ต้องมีใบอนุญาตพิเศษ
ในที่สุดร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับมาตรการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด พาราควอต ไกลโฟเซส และ คลอร์ไพริฟอส ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติให้กรมวิชาการเกษตร ไปทำการยกร่างฯ ได้คลอดออกมาเป็นรูปเป็นร่างให้เห็นกันแล้ว
แต่คณะกรรมการวัตถุอันตราย จะเห็นชอบกับที่จะนำมาใช้ด้วยหรือไม่ ยังเป็นที่ต้องรอกันอีกต่อไป
สรุปสาระสำคัญของร่างฉบับนี้...ได้แยก พาราควอต ไกลโฟเซส และคลอร์ไพริฟอส ให้เป็นสารชนิดพิเศษ ที่แยกออกมาจากสารเคมีทางการเกษตรชนิดอื่นๆ และต้องจัดพื้นที่วางขายแยกจากวัตถุอันตรายชนิดอื่นๆให้เห็นชัดเจน
คนซื้อ คนขาย ร้านค้า คนนำไปใช้ คนรับจ้างพ่น รวมทั้งผู้ผลิต ผู้นำเข้า นอกจากจะต้องขออนุญาตพิเศษแล้ว ยังต้องผ่านการอบรม และต้องอบรมทุกๆ 2 ปี
จะไม่สามารถซื้อขายกันได้แบบง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมา
ที่สำคัญ สารกำจัดวัชพืช พาราควอต และ ไกลโฟเซส จะใช้ได้เฉพาะกับพืช 6 ชนิด อ้อย, ยางพารา, ปาล์มน้ำมัน, มันสำปะหลัง, ข้าวโพด และ ไม้ผล ที่ขึ้นทะเบียนเท่านั้น
ส่วนสารกำจัดแมลงศัตรูพืช คลอร์ไพริฟอส ให้ใช้ได้เฉพาะ ไม้ผล ไม้ดอก และ พืชไร่
สารทั้ง 3 ชนิด ห้ามนำไปใช้ในแปลงปลูกผัก พืชสมุนไพร พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ
ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ปลัด อบต. เป็นผู้มีอำนาจตรวจสอบการใช้วัตถุอันตราย ทุกอย่างมีผลบังคับใช้ในระยะเวลา 90 วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา
หลังจากที่ได้เห็นร่างฯที่ออกมา ฟากฝั่งเกษตรกรให้ความเห็นติงในเรื่องกรอบเวลาในการอบรมเกษตรกรทั่วประเทศกว่า 20 ล้านราย ในระยะเวลา 90 วันคงเป็นไปไม่ได้ จึงเสนอให้กรมวิชาการเกษตรขยายเวลาออกไป เพราะหากบังคับใช้มาแล้วไม่สามารถปฏิบัติได้ เกษตรกรจะมีความผิด
นอกจากนั้น การแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ปลัด อบต. เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบนั้น บางคนอาจขาดองค์ความรู้ด้านเกษตรกรรม ซ้ำต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มในการอบรมก่อนปฏิบัติงานจริง หน้าที่นี้จึงสมควรเป็นของบุคลากรกระทรวงเกษตรฯเอง อาทิ เกษตรตำบล เพราะมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี
สำคัญที่สุดเรื่องราคา เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา หลังกลุ่มเอ็นจีโอมีการขับเคลื่อนให้แบนสารเคมี 3 ชนิด ส่งผลให้สารเคมีดังกล่าวมีราคาแพงขึ้นมาตลอด ทำให้เกษตรกรมีต้นทุนสูงขึ้น สูญเสียรายได้ไปปีละ 1,500 ล้านบาท จึงเสนอให้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด เป็นสินค้าที่ต้องมีการควบคุมราคา.
ที่มา : https://www.thairath.co.th
5#สารเคมีในชีวิตประจำวันที่คนท้องควรหลีกเลี่ยง!
สารเคมีในชีวิตประจำวันที่คนท้องควรหลีกเลี่ยง!
จากการศึกษาของ Winthrop University Hospital and Kaiser Permanente Southern California พบว่า แม่ท้องที่มีระดับของสารเคมีพลาสติก (Bisphenol A หรือ BPA) ในโลหิตสูงขึ้น มีแนวโน้มที่จะคลอดก่อนกำหนด
โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ Ramkumar Menon มหาวิทยาลัย The University of Texas Medical Branch (UTMB) สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “ผู้หญิงมีการสัมผัสสาร BPA อย่างต่อเนื่อง เพราะมันใช้ในการผลิตและการเคลือบผิวของภาชนะบรรจุอาหารและมันสามารถปนเปื้อนลงไปในอาหารได้ เมื่อได้รับความร้อนจากเตาไมโครเวฟ หรือแหล่งความร้อนอื่นๆ”
และยังบอกเพิ่มเติมว่า “ในความเป็นจริง BPA ใช้กันอย่างแพร่หลาย ผู้หญิงเกือบทุกคนสัมผัสสารนี้มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันที่มีสารเหล่านี้อย่างแพร่หลาย และผลการวิจัยของเราที่พบว่า ผู้ป่วยทุกรายมีระดับของการสัมผัส ชี้ให้เห็นว่า การสัมผัสกับพลาสติกที่มีสาร BPA เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก”
นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบอีกว่า การวิเคราะห์ตัวอย่างเลือดจากหญิงตั้งครรภ์เมื่อพวกเขาได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพื่อทำการคลอดบุตร และจากน้ำคร่ำของทารกในครรภ์ที่เก็บรวบรวมในการคลอด พบระดับความเข้มข้นของสาร BPA เพิ่มขึ้น มีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการคลอดก่อนกำหนด โดยผลการวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of Maternal-Fetal and Neonatal Medicine
สารเคมีอีก 3 ชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงตั้งครรภ์
1. สารพาทาเลต (Phthalates)
เป็นสารเคมีที่ใช้ในการเพิ่มความทนทาน ความยืดหยุ่น และความโปร่งใสของพลาสติก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารเคมีที่ขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ หากทารกที่อยู่ในครรภ์ หรือเกิดมาใหม่ๆ ได้รับสารชนิดนี้จะมีผลต่ออวัยวะสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิง ทำให้เกิดรูผิดปกติที่อวัยวะเพศชาย หรือมีอัณฑะเล็ก ตัวอสุจิน้อย หรือทำให้ผู้หญิงไม่มีประจำเดือนจากรังไข่ที่ผิดปกติ
2. ยากันยุง ยาฆ่าแมลง
ยาฆ่าแมลง สารเคมีที่ประกอบด้วยยาฆ่าแมลง ที่ใช้ในการทำลายระบบประสาทของแมลงและทำให้แมลงตาย คุณแม่ท้องควรหลีกเลี่ยงสารเคมีเหล่านี้ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ระบบประสาทของลูกน้อยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
3. สารไตรโคลซาน (Triclosan)
ไตรโคลซานเป็นส่วนผสมที่พบบ่อยในสบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไตรโคลซาน และไตรโคลคาร์บาน เนื่องจากมีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารเคมีเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดความผิดปกติในด้านพัฒนาการและการเจริญพันธุ์.
ที่มา : https://www.thairath.co.th
วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2562
4# กระบะบรรทุกสารเคมีรั่วไฟลุก! คนขับจอดรถหนีตาย-คาดเคมีรั่วเจอความร้อนจึงปะทุ
กระบะบรรทุกสารเคมีรั่วไฟลุก! คนขับจอดรถหนีตาย-คาดเคมีรั่วเจอความร้อนจึงปะทุ
กระบะบรรทุกเคมีน้ำหนัก 3 ตัน ไฟลุกท่วมกลางถนน คนขับวิ่งหนีตาย เผยก่อนเกิดเหตุมีน้ำรั่วออกมาจากกระบะบรรทุก จากนั้นมีควันพุ่งตามมา ก่อนจอดรถเจอไฟลุกท่วม คาดเคมีทำปฏิกิริยากับโลหะ
(15 มี.ค. 62) ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีเกิดเหตุระทึก เมื่อจู่ๆ มีรถกระบะโตโยต้า รีโว่ สีขาว ทะเบียน กทม. ที่บรรทุกสารเคมีHYDROGEN PEROXIDE 50% จำนวน 100 แกลลอน น้ำหนัก แกลลอนละ 30 กิโลกรัม น้ำหนักรวม 3 ตัน วิ่งมาตามถนนสุขุมวิทฝั่งมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ใกล้กับสามแยกปู่เจ้าสมิงพราย ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรราการ
โดยได้เกิดไฟลุกไหม้บริเวณช่วงท้ายกระบะที่มีหลังคาอะลูมิเนียมปิดทึบ ทำให้รถกระบะคันดังกล่าวเสียหาย และมีถังเคมี HYDROGEN PEROXIDE 50% บางส่วนเสียหาย
เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากเทศบาลสำโรงเหนือ ใช้รถน้ำ 1คัน ฉีดน้ำสกัดประมาณ 30 นาที เพลิงจึงสงบ แต่เนื่องจากจุดเกิดเหตุเป็นถนนสายหลัก จึงทำให้การจราจร บนถนนสุขุมวิท ติดขัดยาวกว่า 3 กิโลเมตร
ทางเจ้าหน้าที่ จึงต้องรีบเคลื่อนย้ายรถบรรทุกเคมีดังกล่าวออกจากผิวการจราจร ไปอยู่ในที่ปลอดภัย นอกจากนี้ที่เกิดเหตุ ยังมีสารเคมีรั่วออกจากแกลลอน หยดลงบนพื้นถนน เกิดควันสีขาวเข้ม เมื่อเข้าใกล้จะมีอาการแสบ และคันที่ผิวหนังด้วย ทางเจ้าหน้าที่ฯ จึงกันบุคคลไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าใกล้โดยเด็ดขาด
นายเจนภพ อายุ 24 ปี คนขับรถกระบะเล่าว่า ตนรับเคมีทั้งหมดมาจาก ซอยสุขสวัสดิ์ 49 นำไปส่งลูกค้าจังหวัดจันทบุรี โดยระหว่างทาง ตนเห็นมีของเหลวไหลจากหลังคากระบะลงมาใส่กระจกหน้ารถ ซึ่งตนก็เริ่มสงสัยว่า คือ น้ำอะไร แต่ก็ยังขับรถไปต่อ แต่ขับต่อไปได้เพียงเล็กน้อยก็มีควันพุ่งออกมาจากตู้ทึบด้านหลัง ตนจึงจอดรถลงไปเปิดประตูด้านหลัง ก็มีควันพุ่งสวนออกมาอย่างแรงและเกิดเปลวไฟขึ้นมาทันที ตนจึงรีบวิ่งหนีตายออกไปจากรถ และโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ และโทรศัพท์แจ้งให้ผู้ว่าจ้างทราบ
ในเบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากเคมีที่รั่วออกมาทำปฏิกิริยากับโลหะและอากาศ จนเกิดความร้อนแล้วติดไฟขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็ต้องรอทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง ว่า เกิดจากสาเหตุใดกันแน่ พร้อมกับจะเชิญทางผู้ว่าจ้าง และเจ้าของสารเคมีมาสอบสวน ว่าเป็นสารเคมีอันตรายหรือไม่ มีการขนส่งที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่และตรวจสอบว่า สารเคมีดังกล่าวเป็นสารเคมีอันตรายเข้าข่ายที่จะต้องแสดงสัญลักษณ์วัตถุอันตรายข้างรถหรือไม่ หากพบว่ามีการกระทำผิดกฎหมายก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ที่มา : https://www.sanook.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
-
3.3 พันธะโคเวเลนต์ สารที่เกิดจากธาตุอโลหะรวมตัวกันเช่นแก๊สออกซิเจนแก๊สไนโตรเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ การยึดเหนี่ยวระหว่างอะต...
-
2.6 ธาตุกัมมันตรังสี ถ้ามีกลุ่มหนึ่งในตารางธาตุซึ่งมีสมบัติแตกต่างจากที่เคยศึกษามาแล้วคือสามารถแผ่รังสีแล้วกลายเป็นอะตอมของธาตุใ...